Hybrid Working การทำงานแนวใหม่ในยุค Next Normal
Last updated: 5 Aug 2025
324 Views

Hybrid Working การทำงานแนวใหม่ในยุค Next Normal
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน และปรับกลยุทธ์ให้รองรับการทำงานของพนักงานจากระยะไกลที่มีจำนวนมากอย่างกะทันหัน และยังต้องยังต้องทบทวนกลยุทธ์และการลงทุนที่ช่วยให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่มีแต่ความไม่แน่นอนนี้
Poly (เดิมชื่อ Plantronics และ Polycom) (NYSE: PLT) โพลีเป็นองค์กรชั้นนำในธุรกิจการสื่อสารระดับโลกที่มุ่งสร้างอำนาจจากการเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกันของมนุษย์ โพลีได้ออกรายงานฉบับใหม่ของตน 2 ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อ การทำงานในยุคนิวนอร์มอล: การจัดลำดับความสำคัญด้านดิจิทัล (The Future of Work in the New Normal: Re-thinking your Digital Priorities) และ การทำงานแบบไฮบริดผสมผสาน: การสร้างนิวนอร์มอลสำหรับการปฏิบัติงาน การจัดพื้นที่และวัฒนธรรมในการทำงาน (Hybrid Working: Creating the next normal in work practices, spaces and culture) ซึ่งรายงานทั้งสองฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ทำงานสมัยใหม่ในปัจจุบัน (และพื้นที่ทำงาน) ซึ่งจะมีการทำงานแบบไฮบริดผสมผสานเป็นบรรทัดฐาน รวมถึงแนวโน้มการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมและโซลูชันการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรวางแผนสำหรับอนาคตได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่าง Google ที่ได้เริ่มให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid Working
Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ได้ประกาศนโยบายการทำงานที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยจะเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถทำงานนอกสถานที่ หรือทำงานจากที่บ้านได้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่โลกแห่งการทำงานหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19
Sundar Pichai, CEO ของบริษัท ได้แจ้งนโยบายการทำงานใหม่แก่พนักงาน โดยจะให้พนักงานของ Google 60% เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ เพียงแค่บางวันต่อสัปดาห์ อีก 20% ย้ายสถานที่ทำงานไปที่ออฟฟิศ ของ Google แห่งอื่นๆ และอีก 20% สุดท้ายจะทำงานที่บ้าน อีกทั้งยังมีการออกข้อกำหนดอีกว่า พนักงาน Google สามารถทำงานจากสถานที่อื่นได้ 4 สัปดาห์ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 2 สัปดาห์
สามารถที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการพนักงานไปถึง 268 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ทั้งปี 2020 บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปถึง 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน และปรับกลยุทธ์ให้รองรับการทำงานของพนักงานจากระยะไกลที่มีจำนวนมากอย่างกะทันหัน และยังต้องยังต้องทบทวนกลยุทธ์และการลงทุนที่ช่วยให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่มีแต่ความไม่แน่นอนนี้
Poly (เดิมชื่อ Plantronics และ Polycom) (NYSE: PLT) โพลีเป็นองค์กรชั้นนำในธุรกิจการสื่อสารระดับโลกที่มุ่งสร้างอำนาจจากการเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกันของมนุษย์ โพลีได้ออกรายงานฉบับใหม่ของตน 2 ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อ การทำงานในยุคนิวนอร์มอล: การจัดลำดับความสำคัญด้านดิจิทัล (The Future of Work in the New Normal: Re-thinking your Digital Priorities) และ การทำงานแบบไฮบริดผสมผสาน: การสร้างนิวนอร์มอลสำหรับการปฏิบัติงาน การจัดพื้นที่และวัฒนธรรมในการทำงาน (Hybrid Working: Creating the next normal in work practices, spaces and culture) ซึ่งรายงานทั้งสองฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ทำงานสมัยใหม่ในปัจจุบัน (และพื้นที่ทำงาน) ซึ่งจะมีการทำงานแบบไฮบริดผสมผสานเป็นบรรทัดฐาน รวมถึงแนวโน้มการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมและโซลูชันการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรวางแผนสำหรับอนาคตได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่าง Google ที่ได้เริ่มให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid Working
Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ได้ประกาศนโยบายการทำงานที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยจะเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถทำงานนอกสถานที่ หรือทำงานจากที่บ้านได้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่โลกแห่งการทำงานหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19
Sundar Pichai, CEO ของบริษัท ได้แจ้งนโยบายการทำงานใหม่แก่พนักงาน โดยจะให้พนักงานของ Google 60% เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ เพียงแค่บางวันต่อสัปดาห์ อีก 20% ย้ายสถานที่ทำงานไปที่ออฟฟิศ ของ Google แห่งอื่นๆ และอีก 20% สุดท้ายจะทำงานที่บ้าน อีกทั้งยังมีการออกข้อกำหนดอีกว่า พนักงาน Google สามารถทำงานจากสถานที่อื่นได้ 4 สัปดาห์ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 2 สัปดาห์
สามารถที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการพนักงานไปถึง 268 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ทั้งปี 2020 บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปถึง 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Related Content
โลกดิจิทัลที่ไร้พรมแดนนำความสะดวกสบายมาให้เราอย่างมหาศาล แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน ภัยคุกคามไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนไอทีอีกต่อไป แต่มันแฝงตัวอยู่รอบๆ เราอย่างแนบเนียน ตั้งแต่การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง การรู้เท่าทันและคาดการณ์เทรนด์ Cyber Security ล่วงหน้าจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราทั้งในฐานะบุคคลและองค์กร สามารถเตรียมพร้อมรับมือและวางกลยุทธ์การป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่า 5 เทรนด์ความปลอดภัยไซเบอร์ในปี 2026 ที่เราต้องจับตามองมีอะไรบ้าง
เพอรอฟสไกต์ (Perovskite) วัสดุและนวัตกรรมใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาอย่างมากในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ เพราะมันไม่ได้มาแค่เพื่อแข่งขัน แต่จะเข้ามา เปลี่ยนภาพจำ ของโซลาร์เซลล์แบบดั้งเดิมไปตลอดกาล !
ปี 2026 จะไม่ใช่แค่ปีแห่งการเริ่มต้น แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยจะเปลี่ยนไปตลอดกาล สิ่งนี้ไม่ได้กระทบแค่คนสาย Tech แต่กำลังจะเปลี่ยนวิถีการทำงานและการทำธุรกิจของพวกเราทุกคน


